รอสักครู่...

  • น.
พื้นที่โฆษณา

ข่าวโควิด-19 (ยกเลิก)

ข่าวโควิด-19 (ยกเลิก) - วิจัย สวรส.ชี้รับยาที่ร้านยา ช่วยลดเสี่ยงติดเชื้อ ลดเวลารอรับยา ลดแออัดใน รพ.


ชอบข่าวนี้?
พื้นที่โฆษณา

จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลได้ประกาศบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการที่จำเป็นเร่งด่วน ตามข้อเสนอของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยได้ประกาศราชกิจจานุเบกษา ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ตั้งแต่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นมา

สาเหตุการระบาดระลอกใหม่นี้ ส่วนหนึ่งมาจากสถานที่เสี่ยง เช่น สถานบันเทิง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความแออัดของการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ทั้งนี้ โรงพยาบาล เป็นอีกหนึ่งสถานที่เสี่ยงสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นจุดรองรับการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและรักษาผู้ติดเชื้อ ขณะที่ยังเป็นสถานที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ยังต้องเดินทางเข้ารับบริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุหรือกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่จำเป็นต้องมาพบแพทย์หรือรับยา ซึ่งหากได้รับเชื้อโควิด-19 อาจส่งผลรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการวิเคราะห์ข้อเสนอทางเลือกเชิงนโยบายและติดตามการดำเนินนโยบายให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ครั้งที่ 2/2564 (ภายใต้คำสั่งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ที่ 47/2562) มี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นประธาน ณ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีการนำเสนอผลการวิจัย “ประเมินผลโครงการนำร่องให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ระยะที่ 2” ซึ่งได้ทำการศึกษาโครงการให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยา ในกลุ่มผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคทางจิตเวช และหอบหืดหรือโรคเรื้อรังที่ไม่มีความซับซ้อนในการดูแล ซึ่งได้มีการขยายผลนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อของผู้ป่วยทั้ง 4 กลุ่มโรค

ดร.รุ่งนภา คำผาง นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กล่าวว่า “ปี 2563 ที่ผ่านมามีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการนำร่องฯ 141 แห่ง จากเป้าหมาย 50 แห่ง ส่วนร้านยาเข้าร่วมโครงการ 1,081 แห่ง จากเป้าหมาย 500 แห่ง เป็นจำนวนเกินกว่าเป้าหมายที่ สปสช. กำหนดไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจ่ายยาให้กับผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค โดยวางแผนดำเนินการด้วย 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบที่ 1 โรงพยาบาลเป็นผู้จัดยาสำหรับผู้ป่วยรายบุคคลและส่งยาไปที่ร้านยาเพื่อจ่ายยาให้กับผู้ป่วย รูปแบบที่ 2 โรงพยาบาลนำยาไปสำรองไว้ที่ร้านยา และให้เภสัชกรร้านยาเป็นผู้จัดและจ่ายยาให้ผู้ป่วยรายบุคคลตามใบสั่งแพทย์ ทั้งสองรูปแบบมีการดำเนินการจริงแล้ว และรูปแบบที่ 3 ร้านยาเป็นผู้จัดซื้อยาสำรองยา จัดและจ่ายยาให้กับผู้ป่วยรายบุคคลตามใบสั่งแพทย์ แล้วเบิกค่ายาจากโรงพยาบาล ทั้งนี้ในส่วนของรูปแบบที่ 3 ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะมีข้อจำกัดด้านความแตกต่างของราคายาที่บริษัทจะขายให้โรงพยาบาลและร้านยา องค์การเภสัชกรรมจึงมาช่วยในการจัดหาและจัดซื้อยา โดยรูปแบบที่ 3 นี้ กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและคาดว่าจะดำเนินการได้จริงเดือนมิถุนายน 2564 โรงพยาบาลสามารถเลือกรูปแบบบริการที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

จากการเก็บข้อมูลใน 15 โรงพยาบาลจาก 13 เขตสุขภาพ รวมถึงร้านยาที่เป็นเครือข่ายในการดำเนินงานตามรูปแบบที่ 1-2 พบว่าโครงการมีประโยชน์ต่อผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ในด้านช่วยลดระยะเวลาการรอรับยาและเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล เฉลี่ยรวม 58 นาทีต่อผู้ป่วย 1 คน ผู้ป่วยมีเวลาปรึกษาเภสัชกรเพิ่มขึ้น 3 นาที คิดเป็น 42% ลดความแออัดในโรงพยาบาลได้เฉลี่ย 8.5% ต่อโรงพยาบาล และประหยัดต้นทุนการเดินทางของผู้ป่วยได้ 71% เมื่อเทียบกับการรับยาที่ รพ. ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าผู้ป่วยพึงพอใจมาก โดยเฉพาะในด้านการใช้เวลารอคอยรับยาไม่นาน ความสะดวกในการเดินทาง และความกระตือรือร้นของเภสัชกรในการให้คำปรึกษา”

ดร.รุ่งนภา อธิบายถึงผลของการให้บริการภายใต้โครงการนำร่องฯ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยใช้เวลารอรับยาที่ร้านยาไม่นาน การเดินทางสะดวก ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและสามารถนัดหมายเวลาไปรับยาได้ นอกจากนั้นเภสัชกรยังมีเวลาในการอธิบายการใช้ยาให้กับผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการลดความเสี่ยงในการติดโรคระบาดได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั้งนี้ การศึกษายังพบด้วยว่า หากแพทย์เป็นผู้แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ ผู้ป่วยมีแนวโน้มตอบรับเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น

ดร.รุ่งนภา กล่าวด้วยว่า ในประเด็นที่ผู้ป่วยไม่เข้าร่วมโครงการฯ พบว่า ผู้ป่วยต้องการที่จะพบแพทย์ทุกครั้งเพราะต้องการเข้ารับการตรวจติดตาม บางรายไม่มีร้านยาใกล้บ้านหรือเดินทางไม่สะดวก ผู้ป่วยไม่มั่นใจคุณภาพการให้บริการของร้านยา และบางรายยังไม่ทราบว่าตนเองสามารถเข้าร่วมโครงการได้ สำหรับข้อเสนอในการพัฒนาด้านบริการของโครงการฯ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และในระดับโรงพยาบาลควรประชาสัมพันธ์โครงการให้ผู้ป่วยทราบผ่านในหลายช่องทาง นอกจากนี้ ผู้บริหารโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการและจะเข้าร่วมโครงการ ต้องเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจให้กับแพทย์เพื่อให้เห็นความสำคัญของการไปรับยาที่ร้านยา และให้แพทย์มีส่วนร่วมกำหนดกลุ่มเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงาน รวมทั้งเชิญชวนผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ เช่น ประชาสัมพันธ์โครงการให้ผู้ป่วยทราบ ในประเด็นการลดระยะเวลารอคอยรับยา ผู้ป่วยได้รับยาเดิมที่เหมือนกับการรับยาที่โรงพยาบาล ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผู้ป่วยมีเวลามากขึ้นในการสอบถามข้อมูลการใช้ยาจากเภสัชกรร้านยา รวมทั้งช่วยลดการมาโรงพยาบาลในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19

ทางด้าน โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้ร่วมนำเสนอผลการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการฯ โดย โรงพยาบาลได้ปรับรูปแบบการให้บริการเภสัชกรรมเพื่อมุ่งสู่ New Normal Pharmacy Service ภายใต้แนวคิด “ลด เร่ง สร้าง” ลดการมาโรงพยาบาลเพื่อลดแออัดลดความเสี่ยงโควิด-19 เร่งระบายคือลดระยะเวลาการรอคอย และสร้างรูปแบบบริการใหม่ โดยมีการดำเนินงานพัฒนาระบบจำแนกผู้ป่วยเพื่อเข้าสู่ระบบการรับยาที่ร้านยา และพัฒนาระบบสารสนเทศเครือข่ายโรงพยาบาล - ร้านยา - สปสช., เพิ่มจำนวนเครือข่ายร้านยาให้ครอบคลุมพื้นที่อำเภออื่นๆในจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ โรงพยาบาลได้มีการขยายบริการมากกว่า 4 กลุ่มโรคข้างต้น เช่น โรคต้อ โรคต่อมลูกหมากโต และบางโรคตามดุลวินิจฉัยของแพทย์ รวมทั้งมีการจัดยาให้ผู้ป่วยสิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ สามารถไปรับยาที่ร้านยาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมถึงการจัดบริการส่งยาข้ามอำเภอเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้ป่วยที่ใกล้กับสถานพยาบาลหรือร้านยานั้นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการดังกล่าวมากขึ้น

นอกจากนี้ สวรส. ยังมีการนำเสนอรายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยโครงการพัฒนาแนวทางการดำเนินงานบริการเภสัชกรรมทางไกล (Telepharmacy) ในประเทศไทย และการประเมินระบบบริการจัดส่งยาทางไปรษณีย์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวจะนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบริการด้านยา โดยเสนอให้กับกระทรวงสาธารณสุขนำไปพิจารณาสนับสนุนการขยายการดำเนินงานของโรงพยาบาลในสังกัดในการพัฒนาควบคู่ไปกับบริการด้าน Telemedicine และการจัดส่งยาทางไปรณษีย์เพิ่มเติมในอนาคตต่อไป


"ข่าวประชาสัมพันธ์ ทันทุกกระแส" กับ @PRNewsThailand

เพิ่มเพื่อน
พื้นที่โฆษณา

แสดงความคิดเห็น

พื้นที่โฆษณา
คำค้นแนะนำ
Link

ข่าวประชาสัมพันธ์

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์

รับทำเว็บไซต์

รับทำเว็บไซต์โรงแรม

เว็บเซลเพจ

เว็บเซลเพจโรงแรม

โรงแรมนครศรีธรรมราช

นครศรีธรรมราช

รวมโรงแรมนครศรีธรรมราช

ผู้หญิง

เว็บไซต์ผู้หญิง

โปรโมชั่น

ความงาม

แฟชั่น

สุขภาพ

ไลฟ์สไตล์

สลากกินแบ่งรัฐบาล

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

หวย

ตรวจหวย

ลอตเตอรี่

เรียงเบอร์

รวมข่าวประชาสัมพันธ์

วงล้อนำโชค

สุ่มเลขนำโชค

ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์

ท้าวเวสสุวรรณ

หวยงวดนี้

เลขเด่นนำโชค

พระพิฆเนศ

นิวส์ไวร์

newswire

ไทยนิวส์ไวร์

thainewswire

จองตั๋วรถทัวร์

จองตั๋วรถทัวร์ออนไลน์

รีสอร์ทตราด

ตราดรีสอร์ท

โรงแรมตราด

Resort Trat

Trat Resort

ดูดวงไพ่ทาโรต์

ดูดวงไพ่ยิปซี

ดูดวงฟรี

ดูดวงออนไลน์

ดูดวงทั่วไป

ดูดวงการงาน

ดูดวงการเงิน

ดูดวงความรัก

ดูดวงสุขภาพ

ดูดวงการศึกษา

พื้นที่โฆษณา