ข่าวสุขภาพ - สสส. ? มูลนิธิหัวใจอาสา - ภาคีเครือข่าย จัดเดิน-วิ่ง ?หัวใจอาสา? RUN FOR LOVE ครั้งที่ 11

สสส. – มูลนิธิหัวใจอาสา - ภาคีเครือข่าย จัดเดิน-วิ่ง “หัวใจอาสา” RUN FOR LOVE ครั้งที่ 11 ชวนประชาชน – คนพิการ ป้องกันกลุ่มโรค NCDs ตั้งเป้าสร้างสังคมแห่งความสุข-เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ชี้กิจกรรมทางกาย ต้องไร้ขีดจำกัด คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) มูลนิธิหัวใจอาสา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย มูลนิธินวัตกรรมเพื่อสังคม องค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมจัดกิจกรรม “เดิน-วิ่ง สังคมสดใสด้วยหัวใจอาสา ครั้งที่ 11” (Run for Love) โดยมีคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วยดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. นายกรรชิต สุขใจมิตร ผู้อำนวยการมูลนิธิหัวใจอาสา และนายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมซึ่งมีนักวิ่งให้ความสนใจร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก พร้อมกับเชิญชวนให้นำสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้ว แต่ยังมีคุณค่า มาร่วมบริจาคที่“ร้านปันกัน”โดยมูลนิธิยุวพัฒน์ จะนำรายได้ทั้งหมดไปเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่ขาดโอกาสต่อไป
คุณหญิงชฎากล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยตลอดจนคนพิการ โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานในองค์กร ต่างๆ ออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิต เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อันได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพาต อัมพฤกษ์ และโรคอ้วน และเป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย เห็นคุณค่าของ “การให้” และ “การมีหัวใจอาสา” ที่มุ่งสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม และการช่วยเหลือ และแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นสำหรับกิจกรรมแข่งขันเดิน-วิ่ง แบ่งเป็นการแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน10 กิโลเมตร,การวิ่ง5กิโลเมตรและกิจกรรมเดินเพื่อสุขภาพ2.4กิโลเมตร
ดร.นพ.ไพโรจน์กล่าวว่าจากข้อมูลในปี2562คนไทยเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องสูงถึง427.4คนต่อประชากร100,000คน โดยการเพิ่มกิจกรรมทางกายจะเป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันโรคไม่ติดต่อ หรือNCDsในกลุ่มวัยทำงาน โดยองค์กรอนามัยโลกแนะนำว่า บุคคลที่สุขภาพปกติในวัยทำงานควรมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ และควรปฏิบัติเป็นประจำอย่างน้อย150-300นาทีต่อสัปดาห์ ขณะที่โครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี2563โดยศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) พบว่าคนไทยมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอถึงร้อยละ45.67ดังนั้น การที่คนไทยกลับมามีกิจกรรมทางกาย อย่างการเดินวิ่งให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรคNCDs
นางภรณี กล่าวว่าสสส.มุ่งสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพให้คนกลุ่มเปราะบาง ที่ถูกละเลย หลงลืม หรือเป็น “กลุ่มสุดท้าย” ที่เข้าถึงสิทธิสวัสดิการต่างๆ ในสังคม ที่ผ่านมา สสส.และภาคีเครือข่าย ผลักดันให้เกิดนโยบาย พัฒนาความรู้ เพื่อให้เกิดสังคมแห่งความสุขและเท่าเทียมสำหรับทุกคน (Inclusive Society) ที่ส่งเสริมให้คนทุกกลุ่มมีศักดิ์ศรีและสุขภาวะที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายของ สสส.คือทำให้คนพิการทุกคนมีงานทำ มีสิทธิและได้รับการศึกษา เทียบเท่ากับคนทุกกลุ่ม
“งานเดิน-วิ่งหัวใจอาสาRun for Loveสะท้อนให้เห็นหัวใจขององค์กร ที่ต้องการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้ร่วมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ เพื่อให้คนพิการแสดงศักยภาพของตัวเอง และทำให้สังคมเห็นว่าการวิ่งไร้ขีดจำกัด คนทุกกลุ่มสามารถวิ่งได้ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน”นางภรณี กล่าว
นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า มูลนิธินวัตกรรมฯ ขับเคลื่อนโครงการคนพิการเข้าสู่ปีที่ 7 มีเป้าหมายให้คนพิการมีงานทำ มีอาชีพ และมีสุขภาวะที่ดี จึงเกิดระบบการติดตามสุขภาพคนพิการ Health tracking ควบคู่กิจกรรม “70 วันมหัศจรรย์ของฉัน” ที่มุ่งเน้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ภายใต้ 4 ภารกิจ 1.ขยับกายขยายปอด ออกกำลังกาย วันละ 30 นาที 2.คนอ่อนหวาน งดของหวาน ทานน้ำตาล?ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน 3.ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วต่อวัน หรือ 2 ลิตร 4.มนุษย์ผัก วันละ 4 กำมือ เพิ่มพลังขับถ่าย มีคนพิการและองค์กรท้องถิ่นเข้าร่วมกว่า 3,000 คน จากผลสำรวจพบว่า 69% ของคนพิการที่เข้าร่วมตื่นตัวในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม ในอนาคตมีแผนจะขยายโครงการต่อไป ติดตามข่าวสารของโครงการ และภาพกิจกรรมงาน RUN FOR LOVE เดิน-วิ่ง กับคนพิการ ได้ทางแฟนเพจ คนพิการต้องมีงานทำ – มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม www.facebook.com/konpikanthai
"ข่าวประชาสัมพันธ์ ทันทุกกระแส" กับ @PRNewsThailand
