รอสักครู่...

  • น.
พื้นที่โฆษณา

ข่าวสุขภาพ

ข่าวสุขภาพ - แคลเซียมนั้นสำคัญไฉน?!? รู้จักที่มาและความเสี่ยง หากชีวิตนี้ขาดแคลเซียม?!!


ชอบข่าวนี้?
พื้นที่โฆษณา

แคลเซียมนั้นสำคัญไฉน!?
รู้จักที่มาและความเสี่ยง หากชีวิตนี้ขาดแคลเซียม!!

ตั้งแต่เด็กจนโต เราต่างถูกพร่ำบอกเรื่องวิถีการกิน ว่าต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โตมาหน่อยเมื่อเริ่มใส่ใจกับรูปร่างและสุขภาพ หลายคนทุ่มเทให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการมากขึ้น ทั้งปริมาณแคลอรี่ โซเดียม หรือโคเลสเตอรอล เพื่อมุ่งสู่ปลายทางร่างกายที่ควบทั้งความเฮลตี้และดูดีไปพร้อมกัน

แต่ในบรรดาสารอาหารและแหล่งโภชนาการต่างๆ ที่เราไขว่คว้านั้น ยังมีแร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายแบบสุดๆ บทบาทของมันคือการสร้างมวลกระดูก และชะลอการผุกร่อน ไปพร้อมๆ กับเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างร่างกายในตัว หรือก็คือร่างกายคนเราไม่ว่าจะวัยไหน ล้วนแต่ต้องการแร่ธาตุอย่างแคลเซียม (Calcium)ด้วยกันทั้งนั้น

แน่ล่ะ เราต่างรู้ว่าแคลเซียมคือแร่ธาตุสุดสำคัญที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง แต่ด้วยความที่เรามองไม่เห็นกระดูกในร่างกายได้ (ถ้าไม่นับที่ฟัน) จึงทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยละเลยการเสริมแคลเซียมให้กับร่างกาย พอรู้ตัวอีกที มวลกระดูกที่แข็งโป๊กมาตลอด กลับส่งสัญญาณร้องบอกให้เห็นอาการที่น่าเป็นห่วงเข้าเสียแล้ว

เมื่อคนเราขาดแคลเซียม ร่างกายจะส่งเสียงผ่านสารพัดอาการ ทั้งความอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ผิวแห้ง เล็บเปราะ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น คือโรคเกี่ยวกับกระดูกจะถาโถมมาแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดตามข้อ กระดูกอ่อนอักเสบ หรือกระทั่ง"โรคกระดูกพรุน"ซึ่งทางสถิติบ่งชี้ว่า เมื่ออายุแตะเลข 30 ปี มวลกระดูกจะเริ่มสูญสลายไป และจะมีผู้หญิงไทยร้อยละ 50 รวมถึงผู้ชายอายุมากกว่า 65 ปี ร้อยละ 20 ที่มีอาการของโรคกระดูกพรุน

ความน่ากลัวของโรคกระดูกพรุนและอาการขาดแคลเซียม คืออันตรายที่เป็นภัยเงียบอย่างแท้จริง เพราะปกติแล้วในช่วงอายุระหว่าง 30-35 ปี ร่างกายจะมีทั้งขั้นตอนของการ"สร้างและสลายกระดูก"ที่สมดุลกัน แต่เมื่อวันเวลาล่วงเลยจนเข้าสู่ช่วงอายุ 40 ปี ขั้นตอนการสลายกระดูกจะเริ่มมีมากกว่าการสร้างอย่างชัดเจน หรือพูดได้ว่า"ครึ่งชีวิตของเรา ล้วนอยู่กับขั้นตอนการสลายกระดูกตลอดเวลา"

ขั้นตอนต่อมาเมื่อกระดูกสลายไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรับรู้ถึงสภาพโครงสร้างแสนจะเปราะบางในตัว เพียงการกระแทกเบาๆ หรือการไอ-จาม จนเกิดบิดเอี้ยวตัวกะทันหัน ก็มากพอที่จะทำให้กระดูกแตกหักได้แล้ว และยังมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการแตกหักครั้งที่ 2 หรือ 3 ตามมา สิ่งเดียวที่มนุษย์สามารถชะลออาการธรรมชาตินี้ได้ จึงมีเพียงการเสริมแคลเซียมให้กระดูกเท่านั้น

แล้วเราจะไปหาแคลเซียมมาจากไหนล่ะ? จริงๆ แล้วแร่ธาตุแคลเซียมเป็นอะไรที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด อย่างแรกที่หลายคนนึกออกคงจะเป็น"นมและผลิตภัณฑ์จากนม"ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมที่สูงและยังหาได้ง่าย แต่หากใครไม่สะดวกดื่มนม ก็อาจเลือกแก้ไขได้ด้วยอาหารชนิดอื่น อย่าง พวกปลาตัวเล็ก ผักใบเขียว หรือธัญพืชบางชนิด เช่น งาดำ เป็นต้น

ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อแหล่งแคลเซียมอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ แล้วทำไมเราจึงต้องกังวลว่าร่างกายจะขาดแคลเซียมอีก คำตอบคือ ในอาหาร 3 มื้อ ที่เราทานไปแต่ละวันนั้น เฉลี่ยแล้วเท่ากับเราได้รับแคลเซียมเพียงวันละ 361 มิลลิกรัมเท่านั้น เทียบกับปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน คือ วัยเด็ก ต้องการแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัม/วัน , วัยรุ่น ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,300 มิลลิกรัม/วัน และวัยผู้ใหญ่ ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัม/วัน หรือคิดโดยเฉลี่ยตลอดช่วงชีวิตของคนเรา"ต้องการปริมาณแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน"นั่นเอง

นั่นบ่งบอกได้ว่า ถ้าเราใช้ชีวิตสบายๆ ทานอาหารปกติ เราจะขาดแคลเซียมในปริมาณที่ร่างกายควรจะได้ไปเฉลี่ยวันละ 640 มิลลิกรัมเลยทีเดียว หรือเท่ากับเราต้องดื่มนมเพิ่ม อย่างน้อยๆ วันละไม่ต่ำกว่า 3 แก้ว จึงจะได้แคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการ ...มาถึงตรงนี้ ถ้าใครมีอาการขยาดดื่มนม อาจดูเหมือนจะเจอความลำบากเข้าเสียแล้ว แต่โชคดีที่ชีวิตก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะอย่าลืมว่าในโลกนี้ มีสิ่งประดิษฐ์จากวิทยาศาสตร์สุดล้ำค่า ที่เรียกว่า"ยา"อยู่ด้วย

การพูดถึงยา ไม่ได้หมายความว่าเราแนะนำให้เกิดอาการขาดแคลเซียมแล้วค่อยใช้ยารักษาหรอกนะ (เพราะมันรักษาไม่ได้อยู่แล้ว) แต่ยาในที่นี้หมายถึง"แคลเซียมคาร์บอเนตแบบเม็ด"หรือเคมีที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้ร่างกายโดยวิธีการทานยานั่นแหละ แต่ต่างกันตรงที่ครั้งนี้เราไม่ได้ทานยาเพราะป่วย แต่ทานเพราะว่า"ยาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแค่รักษาเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันก่อนป่วยได้ด้วย"

ในเมื่อรู้ว่ามีเม็ดยาที่เสริมแคลเซียมได้ คำถามต่อมาคือเราจะไปหายาแบบนี้มาจากไหน เพราะถ้าต้องอิมพอร์ตเม็ดยาขึ้นเครื่องมาจากต่างประเทศ พร้อมแพ็คเกจราคาสุดจะแพง อย่างนั้นขอกลั้นใจดื่มนมเอาเสียดีกว่า แต่ก็อย่างที่บอกว่าชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น ยิ่งถ้าเป็นในประเทศไทยยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะทุกวันนี้ ร้านขายยาทั่วไปต่างมีผลิตภัณฑ์แคลเซียมแบบเม็ด ที่เป็นยาต้นฉบับของคนไทยวางจำหน่ายอยู่ ในชื่อว่า"CHALKCAP"จากบริษัทยา"จรูญเภสัช"

แคลเซียมคาร์บอเนต คือรูปแบบของเกลือแคลเซียมแบบเม็ด ที่จะแตกตัวด้วยกรดในกระเพาะอาหารเมื่อถูกทานเข้าไป และจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในแบบแร่ธาตุแคลเซียม ที่สำคัญแคลเซียมคาร์บอเนตยังสามารถให้แคลเซียมกับร่างกายได้ถึง 40% ต่อปริมาณ พูดง่ายๆ คือแคลเซียมคาร์บอเนต 1 เม็ด ในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม จะให้แคลเซียมมากถึง 400 มิลลิกรัมหรือเท่ากับว่าการทานแคลเซียมคาร์บอเนตแบบเม็ด วันละ1-2 เม็ด ก็สามารถชดเชยปริมาณแคลเซียมขาดหายไป ได้ครบถ้วน

สุดท้ายนี้ แม้ปัจจุบันจะมีบริษัทยาคนไทย ที่ค้นคว้าแคลเซียมแบบเม็ดให้เราได้ทานกันอย่างง่ายๆ แล้ว แต่อย่าลืมว่าการจะรักษามวลกระดูก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารการกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ขึ้นกับการดูแลตัวเองในด้านอื่น ทั้ง การออกกำลังกาย การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาจรวมถึงการเสริมวิตามินต่างๆ ที่ช่วยลดการสูญเสียแคลเซียม

เพราะหากแคลเซียมถูกสะสมอย่างเพียงพอ มวลกระดูกจะได้รับการป้องกันเต็มที่ จะอายุ 30 40 หรือ50 ปี ก็ขีดฆ่าความเสี่ยงกระดูกพรุนออกจากใบตรวจสุขภาพไปได้เลย


"ข่าวประชาสัมพันธ์ ทันทุกกระแส" กับ @PRNewsThailand

เพิ่มเพื่อน
พื้นที่โฆษณา

แสดงความคิดเห็น

พื้นที่โฆษณา
คำค้นแนะนำ
Link
พื้นที่โฆษณา