ข่าวพลังงาน, สิ่งแวดล้อม - กรมโรงงานอุตสาหกรรม เผยความสำเร็จกิจกรรมวันโอโซนสากลประจำปี 2564

ในงานวันโอโซนสากล ประจำปี พ.ศ. 2564 ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตามพันธกิจของพิธีสารมอนทรีออลเพื่อดำเนินการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนได้จัดกิจกรรมวันโอโซนสากล โดยในปีนี้ใช้สโลแกน “โอโซนดี ชีวิตก็ดี” เพื่อสื่อสารให้กับประชาชนคนไทยได้รับรู้และรับทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศโอโซน ทิศทางการดำเนินงานของภาครัฐกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.วิรัช วิฑูรย์เธียร ที่ปรึกษาด้านอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอนทรีออล กรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ซึ่งทำงานด้านอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอลทรีออลมามากว่า30ปี และอดีตเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อมจากธนาคารโลก เปิดเผยว่า “ชั้นบรรยากาศโอโซน อยู่ระดับ 10 –15กิโลเมตร จากระดับน้ำทะเล ทำหน้าที่ดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตโดยเฉพาะUVBและซึ่งรังสีUVBมีบางส่วนสามารถเล็ดลอดลงมายังพื้นโลกได้ และถ้าหากชั้นบรรยากาศโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์มีน้อยลง ก็จะยิ่งส่งผลให้ปริมาณรังสีUVBสามารถเข้ามายังโลกของเราได้มากขึ้นถ้าชั้นบรรยากาศโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ลดลงไปแค่ 1%ก็จะเท่ากับว่าโอกาสที่เราจะได้รับรังสีUVBจะมากขึ้นถึง2%โอกาสที่เราจะเป็นมะเร็งผิวหนังก็มีมากขึ้น3–6%และหากรังสีUVBเข้ามายังพื้นโลกได้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์ สัตว์ และพืชพรรณ โดยเฉพาะกับผิวหนังมนุษย์นั้น รังสีUVBสามารถเข้ามาเปลี่ยนDNAทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้อีกทั้งผลผลิตทางการเกษตรก็จะลดลง เพราะพืชเกิดผลกระทบในกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลง ทำให้พืชเติบโตช้า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะอยู่ที่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทำให้โลกเสียสมดุล
ด้วยเหตุนี้ หากเรายังไม่ช่วยกันปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน คาดว่าหลังจากปี2030มนุษย์จะเป็นมะเร็งผิวหนัง ซึ่งอาจจะมีมากขึ้นถึง2ล้านรายทั่วโลกต่อปี และยิ่งไปกว่านั้น สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกาประเมินว่าจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคตาต้อกระจก จากปี ค.ศ.1987 จนถึงปี ค.ศ. 2100 จะมีเพิ่มมากขึ้นกว่า 63 ล้านคนผลจากข้อมูลบ่งชี้ว่ากว่า50%ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคตาต้อกระจก จะนำไปสู่การตาบอดได้ในที่สุด และจากผลการศึกษา สถิติจากปี ค.ศ.1987–2006รังสีUVที่ส่องลงมายังโลกมากเกินไป ยังทำให้สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเสื่อมสภาพเร็วขึ้น คาดว่ามูลค่าการสูญเสียมากกว่า4.6ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
ภายในปี ค.ศ. 2070ถ้าหากไม่มีพิธีสารมอนทรีออล โลกของเราก็ยังคงมีการใช้สารคาร์โรฟลูออโรคาร์บอน(CFC)และสารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFC)สารเหล่านี้จะมีผลให้อุณหภูมิโลกอาจสูงเพิ่มขึ้นอีก2องศาเซลเซียส เพราะสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนจะถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ เกิดผลกระทบกับชั้นบรรยากาศโอโซน และส่งผลสืบเนื่องไปสู่สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนำไปสู่วิกฤติปัญหาต่างๆ อีกมากมายทั้งนี้การรณรงค์และดำเนินการในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีการเลิกใช้สารคาร์โรฟลูออโรคาร์บอน (CFC)รวมทั้งลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFC)ไปแล้วกว่า98.6%สำหรับ1.4%ที่เหลืออยู่ ก็คือสารHCFCที่ทุกประเทศจะต้องร่วมมือกันเลิกใช้ ในปี พ.ศ.2573
ในส่วนของภาครัฐ ในประเทศไทย ได้ดำเนินการกิจกรรมห่วงใยโอโซนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี2540ประเทศไทยถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรก ที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้มีการนำเข้าและใช้น้ำยาสารCFCในการผลิตตู้เย็นที่ใช้ในครัวเรือน ถือเป็นก้าวสำคัญที่เราดำเนินการภายหลังจากประเทศที่พัฒนาแล้วมีการเลิกใช้สารCFCไปเพียง 1 ปี เท่านั้น และในปี2541ประเทศไทย ดำเนิน
โครงการครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศระบบซิลเลอร์ (Chiller)ซึ่งเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมโรงแรม และในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเชื่อมโยงการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน และปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือClimate Changeเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะมาเป็นที่สนใจของคนทั่วทั้งโลกในขณะนี้ และสิ่งสำคัญไปกว่านั้นประเทศไทย ถือเป็นประเทศที่2หรือเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่เปลี่ยนสารทำความเย็นหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ“น้ำยาแอร์”จากR22มาเป็นR32ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความเย็นสูง ไม่ทำลายชั้นโอโซน และยังทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยสามารถขยายกำลังการส่งออกเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นไปยังประเทศพัฒนาแล้วได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้ว่าปัญหาชั้นบรรยากาศโอโซนจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอยู่ใกล้ตัวเรามาก เช่น มะเร็งผิวหนัง ตาต้อกระจก หรือแม้กระทั่งสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และยังส่งผลกระทบในภาคเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจอีกด้วย ที่สำคัญการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซนเราทุกคนสามารถทำได้ด้วยการหมั่นดูแลบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่ ให้ดี มีการซ่อม บำรุงอย่างถูกวิธีโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ จะส่งผลให้อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราใช้งานได้นานขึ้น ประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายได้ผลประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและต่อโลก เรียกว่าWin-Winทั้งโลก ทั้งเรา" ดร.วิรัช วิฑูรย์เธียร กล่าวทิ้งท้าย
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่https://youtu.be/y02PH4rOyyY
"ข่าวประชาสัมพันธ์ ทันทุกกระแส" กับ @PRNewsThailand
