รอสักครู่...

  • น.
พื้นที่โฆษณา

ข่าวเศรษฐกิจ, การเงิน

ข่าวเศรษฐกิจ, การเงิน - PwC ชี้ผู้นำธุรกิจประเมินความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสูงเกินไป


ชอบข่าวนี้?
พื้นที่โฆษณา
  • เก้าในสิบขององค์กรประสบปัญหาการหยุดชะงักครั้งใหญ่หลายครั้ง
  • 76% กล่าวว่า ดิสรัปชันส่งผลกระทบปานกลาง/สูงต่อการดำเนินธุรกิจ
  • 70% มั่นใจในความสามารถในการฟื้นตัวจากการหยุดชะงัก แต่หลายองค์กรยังขาดความสามารถในการฟื้นตัวขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จ

กรุงเทพฯ, 12 กรกฎาคม 2566 – PwC เผย รายงานผลสำรวจวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรทั่วโลก (Global Crisis and Resilience Survey) ซึ่งทำการสำรวจสองปีต่อครั้งพบว่า องค์กรและผู้นำธุรกิจประเมินความสามารถในการฟื้นตัวสูงเกินไปแม้ว่าจะดำเนินงานในยุคแห่งการหยุดชะงัก (Disruption) ก็ตาม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนทั้งสิ้น 1,812 รายทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงมุมมองของผู้นำธุรกิจในการเตรียมตัวและรับมือกับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบใหม่ โดยเมื่อถามถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วว่าถูกจัดให้เป็นภารกิจสำคัญลำดับที่เท่าใดขององค์กร เก้าในสิบ (89%) ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นตัว ถือเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งบ่งชี้ว่าองค์กรทั่วโลกต่างกำลังปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต

หลังจากการเริ่มต้นทศวรรษที่วุ่นวาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เก้าในสิบ (91%) ขององค์กรกล่าวว่า ตนประสบปัญหาการหยุดชะงักอย่างน้อยหนึ่งครั้ง นอกเหนือไปจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รายงานพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วองค์กรต่าง ๆ ประสบปัญหาการหยุดชะงักถึงสามครั้งครึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา และสามในสี่ (76%) กล่าวว่า การหยุดชะงักที่ร้ายแรงที่สุดสร้างผลกระทบในระดับปานกลางถึงระดับสูงต่อการดำเนินธุรกิจ โดยขัดขวางกระบวนการทางธุรกิจและบริการที่สำคัญ และก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินและชื่อเสียงขององค์กร

สำหรับการหยุดชะงักห้าอันดับแรกที่พบในรายงาน ประกอบไปด้วย การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การรักษาและการสรรหาพนักงาน ห่วงโซ่อุปทาน การหยุดชะงักที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีหรือความล้มเหลว และการโจมตีทางไซเบอร์ อย่างไรก็ดี หากไม่นับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ถือได้ว่าส่งผลกระทบมากที่สุดต่อองค์กรทั้งในแง่การเงินและอื่น ๆ และยังได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2562 นอกจากนี้ มากกว่าครึ่ง (60%) ขององค์กรที่ประสบปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชนที่รุนแรงที่สุด ยังมีความกังวลมากที่สุดว่า ตนจะต้องเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในลักษณะเดียวกันนี้อีกครั้ง

นาย เดวิด สเทนแบค หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า

“ผู้นำธุรกิจกำลังเผชิญกับการหยุดชะงักและความไม่แน่นอนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังต่อสู้กับแรงผลักดันภายนอกและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจภายใน และนี่ คือ ความท้าทายที่ทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวกลายเป็นหนึ่งในภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลกธุรกิจ”

นอกจากนี้ แม้ว่า 70% ของผู้นำธุรกิจจะแสดงความมั่นใจต่อความสามารถในการฟื้นตัวจากการหยุดชะงักต่าง ๆ ข้อมูลจากผลสำรวจพบว่า หลาย ๆ องค์กรทั่วโลกยังขาดองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งช่องว่างความเชื่อมั่นนี้ ส่งผลให้องค์กรทั่วโลกต้องอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการหยุดชะงักนั้น ๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กร ตรงข้ามกับความท้าทายระดับโลกหรือของภาคส่วนอื่น ๆ

ทั้งนี้ ข้อมูลในรายงานผลสำรวจยังเปิดเผยให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญสามประการที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กร ดังต่อไปนี้

  • โปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวแบบบูรณาการ (Integration) ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรในวันนี้ เพราะการทำงานแบบไซโลนั้น ไม่เพียงพอต่อการจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันและกันอีกต่อไป ธุรกิจต่าง ๆ กำลังขับเคลื่อนไปสู่การมีแนวทางการฟื้นตัวแบบบูรณาการที่ควบคุมจากส่วนกลางขององค์กรและมีความสอดคล้องกับความสามารถในการฟื้นตัวหลากหลายด้านเพื่อปกป้องจุดที่สำคัญที่สุด รวมถึงผนวกโปรแกรมเข้ากับการดำเนินธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กร
  • ธุรกิจจะเติบโตได้ในวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต้องอาศัยผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำ (Leadership) และทีมงานที่ได้รับการยกระดับทักษะ โดยกลยุทธ์และโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัย (1) การให้การสนับสนุนจากฝ่ายบริหารระดับสูง (2) ผู้นำโปรแกรมที่มีความรับผิดชอบที่ชัดเจน และ (3) ทีมงานที่มีทักษะในการปฏิบัติงานวันต่อวัน
  • มีแนวทางของโปรแกรม (Programme approach) สร้างความสามารถในการฟื้นตัวที่คำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด องค์กรควรต้องสร้างความสามารถในการฟื้นตัว (Operational resilience: OpRes) และมั่นใจได้ว่า การวางแผนและการเตรียมความพร้อมได้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรการปฏิบัติงานที่มีความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ ผนวกโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวมากขึ้น ก็มีองค์กรหลายแห่งที่นำหลักของแนวทาง OpRes มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปกป้องจุดสำคัญที่สุดของธุรกิจและจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน โดยคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นี่จึงช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีความน่าเชื่อถือสูง และเสริมสร้างประสิทธิภาพ

สำหรับองค์กรที่มีโปรแกรมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวแบบบูรณาการนั้น ยังมีความก้าวหน้าในองค์ประกอบหลักอื่น ๆ ของ OpRes ซึ่งรวมถึง กระบวนการประเมินความเสี่ยงและภัยคุกคาม การทดสอบ และการทำแผนแสดงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของบริการและกระบวนการ ทำให้บริษัทเหล่านี้มีระบบภูมิคุ้มกันขององค์กรที่เข้มแข็ง ตลอดจนสามารถปรับตัว ยืดหยุ่น และก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง

นางสาว บ๊อบบี้ แรมสเดน-โนลส์ หัวหน้าร่วม ศูนย์ระดับโลกเพื่อวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว PwC ประเทศสหราชอาณาจักร กล่าวว่า

“ความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อการหยุดชะงัก มีความสำคัญต่อการรักษาความไว้วางใจที่สร้างขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปกป้องคุณค่าและชื่อเสียงของผู้ถือหุ้น ในขณะที่ความคาดหวังต่อความสามารถในการฟื้นตัวของธุรกิจและรัฐบาลอยู่ในระดับสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น เพื่อสร้างองค์กรที่เชื่อถือได้และมีความคล่องตัว ผู้นำธุรกิจจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการสร้างความสามารถในการฟื้นตัวครอบคลุมทุกสายงานและบุคลากร รวมถึงให้ความสำคัญกับแนวทางแบบบูรณาการที่ได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยี เพื่อให้องค์กรเห็นภาพของความเสี่ยงและภูมิทัศน์ด้านการฟื้นตัว”

ด้าน นาย พันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า องค์กรที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ภัยคุกคามทางไซเบอร์ การจัดการความเสี่ยงจากบุคคลภายนอก (Third party risk management) ตลอดการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession planning) โดยในขณะที่องค์กรชั้นนำหลายแห่งได้มีการวางแผนเพื่อรับสถานการณ์ดังกล่าวไว้บ้างแล้ว แต่องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง รวมถึงองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้

“ปัญหาขององค์กรไทยที่มักจะพบเจอ คือ ผู้บริหารยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่ผลประกอบการทางการเงินเป็นหลัก เช่น การสร้างรายได้ หรือลดต้นทุน จึงอยากแนะนำองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น ซึ่งการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบัน” นาย พันธ์ศักดิ์ กล่าว

“นอกจากนี้ การมีคณะผู้บริหาร หรือคณะทำงานที่มีความเข้าใจในการรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการจัดการภาวะวิกฤตและการหยุดชะงักจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยการวางแผน การให้ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั่วทั้งองค์กร อีกทั้งจะต้องมีการประเมินผลลัพธ์ที่ได้ และรายงานผลดังกล่าวไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปปรับปรุงความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรอย่างต่อเนื่องต่อไป” เขา กล่าว

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาดาวน์โหลดรายงานผลสำรวจ PwC Global Crisis and Resilience Survey 2023 ฉบับเต็มได้ทาง www.pwc.com/crisis-resilience


"ข่าวประชาสัมพันธ์ ทันทุกกระแส" กับ @PRNewsThailand

เพิ่มเพื่อน
พื้นที่โฆษณา

แสดงความคิดเห็น

พื้นที่โฆษณา
คำค้นแนะนำ
Link

ข่าวประชาสัมพันธ์

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์

รับทำเว็บไซต์

รับทำเว็บไซต์โรงแรม

เว็บเซลเพจ

เว็บเซลเพจโรงแรม

โรงแรมนครศรีธรรมราช

นครศรีธรรมราช

รวมโรงแรมนครศรีธรรมราช

ผู้หญิง

เว็บไซต์ผู้หญิง

โปรโมชั่น

ความงาม

แฟชั่น

สุขภาพ

ไลฟ์สไตล์

สลากกินแบ่งรัฐบาล

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

หวย

ตรวจหวย

ลอตเตอรี่

เรียงเบอร์

รวมข่าวประชาสัมพันธ์

วงล้อนำโชค

สุ่มเลขนำโชค

ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์

ท้าวเวสสุวรรณ

หวยงวดนี้

เลขเด่นนำโชค

พระพิฆเนศ

นิวส์ไวร์

newswire

ไทยนิวส์ไวร์

thainewswire

จองตั๋วรถทัวร์

จองตั๋วรถทัวร์ออนไลน์

รีสอร์ทตราด

ตราดรีสอร์ท

โรงแรมตราด

Resort Trat

Trat Resort

ดูดวงไพ่ทาโรต์

ดูดวงไพ่ยิปซี

ดูดวงฟรี

ดูดวงออนไลน์

ดูดวงทั่วไป

ดูดวงการงาน

ดูดวงการเงิน

ดูดวงความรัก

ดูดวงสุขภาพ

ดูดวงการศึกษา

พื้นที่โฆษณา