ซิชั่น พีอาร์ นิวส์ไวร์ - IEP ชี้ ปรากฏการณ์ 'การแยกตัวครั้งใหญ่' เร่งความขัดแย้ง: สันติภาพโลกดิ่งลง
![]() |
ลอนดอน, 18 มิถุนายน 2568 /PRNewswire/ -- รายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index หรือ GPI) ประจำปี 2568 ที่เผยแพร่ในวันนี้โดย Institute for Economics & Peace (IEP) ระบุว่า ระดับความสันติภาพของโลกยังคงถดถอยอย่างต่อเนื่อง โดยตัวชี้วัดสำคัญหลายรายการที่มักเกิดขึ้นก่อนความขัดแย้งครั้งใหญ่ ได้พุ่งสูงกว่าทุกช่วงเวลา นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
อัตราการเสียชีวิตจากความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น และความกล้าแสดงบทบาทของประเทศอำนาจปานกลาง (middle power) กำลังผลักดันปรากฏการณ์ 'การแยกตัวครั้งใหญ่' (The Great Fragmentation) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกครั้งใหญ่ และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ เมื่อรวมกับการแข่งขันของชาติมหาอำนาจ เทคโนโลยีการสู้รบแบบอสมมาตร และภาระหนี้ที่สูงขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเปราะบาง แนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งเพิ่มเติมจึงอยู่ในระดับสูง
ข้อค้นพบสำคัญ:
• ระดับสันติภาพโลกอยู่ในจุดต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนี ขณะที่เงื่อนไขที่นำไปสู่ความขัดแย้งอยู่ในภาวะเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
• ระดับสันติภาพทั่วโลกลดลงต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ปี 2557 โดยมีประเทศถึง 100 แห่งที่สถานการณ์แย่ลงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
• ปัจจุบันมีความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยังดำเนินอยู่ถึง 59 จุด มากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งถึง 152,000 รายในปี 2567
• มีประเทศถึง 17 แห่งที่มีผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งภายในประเทศเกิน 1,000 รายในปี 2567 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 และมีอีก 18 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตเกิน 100 ราย
• โลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่าน โดยอิทธิพลและอำนาจระดับโลกกำลังแตกกระจาย
• จำนวนประเทศที่มีอิทธิพลในระดับโลกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่านับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น จาก 13 ประเทศในขณะนั้น เป็น 34 ประเทศในปี 2566
• ความขัดแย้งมีแนวโน้มข้ามพรมแดนมากขึ้น โดยมีประเทศที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนอกเขตแดนของตน 78 ประเทศในปี 2567
• ผลกระทบทางเศรษฐกิจของความรุนแรงในระดับโลกอยู่ที่ 19.97 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 หรือคิดเป็น 11.6% ของ GDP โลก โดยงบประมาณทางการทหารเพียงอย่างเดียวคิดเป็น 2.7 ล้านล้านดอลลาร์
โลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยจำนวนความขัดแย้งระหว่างรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งมีแนวโน้มยืดเยื้อและมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน การลงทุนระดับโลกในมาตรการป้องกันความขัดแย้งกลับลดลงอย่างมาก ในปี 2567 ประเทศที่มีระดับสันติภาพลดลงมีถึง 87 แห่ง เทียบกับ 74 ประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีบางตัวแสดงสัญญาณเชิงบวกในปี 2567 โดยเฉพาะอัตราอาชญากรรมและการฆาตกรรม ซึ่งยังคงอยู่ในแนวโน้มลดลงระยะยาว
นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ความขัดแย้งยังสร้างภาระทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ผ่านการพลัดถิ่น การหยุดชะงักของการค้า ความไม่แน่นอนทางธุรกิจ และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากความรุนแรงอยู่ที่ 19.97 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 ขณะที่ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงบางแห่งมี GDP ลดลงสูงสุด 30% ภายในปีเดียว ค่าใช้จ่ายด้านสันติภาพของโลก เมื่อเทียบกับงบประมาณทางทหาร อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี โดยคิดเป็นเพียง 0.52% ของการใช้จ่ายทางทหารทั้งหมดในปี 2567
การรวมศูนย์ของอิทธิพลและอำนาจในระดับโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยประเทศที่มีอำนาจระดับกลางมีบทบาทมากขึ้นและทรงอิทธิพลในภูมิภาคของตนมากขึ้น อันเนื่องมาจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่การกระจายตัวของอิทธิพลและการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งเกิดขึ้นระหว่างประเทศระดับกลางด้วยกันเอง ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยมีถึง 43 ประเทศที่ความสัมพันธ์แย่ลง และมีเพียง 10 ประเทศที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน มีประเทศจำนวน 34 แห่งที่มีอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศอื่นอย่างน้อยหนึ่งประเทศ เทียบกับเพียง 13 ประเทศในช่วงสิ้นสุดสงครามเย็น ประเทศอย่างซาอุดีอาระเบีย ตุรกี อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล แอฟริกาใต้ บราซิล และอินโดนีเซียได้กลายมาเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลในระดับภูมิภาค การกระจายตัวนี้ทวีความชัดเจนขึ้นอีกจากการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าซึ่งพุ่งขึ้นเป็นสามเท่า คิดเป็นมากกว่า 3,000 มาตรการในปี 2566 ขณะที่จีนซึ่งมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น กำลังเริ่มชะลอตัว โดยหนี้รวมแตะระดับเกือบ 300% ของ GDP และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างมากจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี
การวิเคราะห์รายภูมิภาค
ยุโรปตะวันตกและยุโรปกลางยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสันติภาพที่สุดในโลก โดยไอซ์แลนด์ครองตำแหน่งประเทศที่มีสันติภาพที่สุดมาตั้งแต่ปี 2551 และอยู่ในอันดับต้นของดัชนีร่วมกับไอร์แลนด์ ออสเตรีย นิวซีแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ เศรษฐกิจยุโรปกำลังประสบกับการเติบโตที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการลดความช่วยเหลือจากต่างประเทศและการถอยห่างจากประชาธิปไตยในระดับโลกส่งผลให้บทบาทของยุโรปลดลง โดยฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเป็นสองประเทศที่สูญเสียอิทธิพลมากที่สุด
เป็นครั้งแรกที่รัสเซียถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีสันติภาพน้อยที่สุดในโลก ตามด้วยยูเครน ซูดาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และเยเมน แม้ว่ายุโรปจะใช้จ่ายทางทหารมากกว่ารัสเซียเกือบสี่เท่า แต่ขีดความสามารถทางทหารโดยรวมของยุโรปก็สูงกว่ารัสเซียเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ในขณะที่งบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มสูงขึ้น และเงินทุนถูกเบี่ยงเบนจากบริการสาธารณะอย่างสาธารณสุขและการศึกษา รัฐบาลยุโรปเสี่ยงที่จะทำให้ความตึงเครียดทางสังคมที่มีอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้น ยุโรปควรมุ่งเน้นประสิทธิภาพและการบูรณาการ ไม่ใช่เพียงระดับการใช้จ่าย หากไม่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกันและระบบการบังคับบัญชาที่รวมศูนย์ ศักยภาพทางกลาโหมของยุโรปจะไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแท้จริง ยุโรปต้องสร้างสมดุลระหว่างความจำเป็นด้านความมั่นคงกับความเป็นปึกแผ่นภายใน
ภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาเหนือมีคะแนนสันติภาพลดลงมากเป็นอันดับสอง โดยแคนาดามีคะแนนลดลงมากที่สุดในภูมิภาคนี้ สาเหตุหลักคือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านแย่ลง อันเนื่องมาจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านคะแนนของสหรัฐฯ ยังไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม การลดลงในอนาคตมีแนวโน้มสูงเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและการแบ่งขั้วที่รุนแรงมากขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2563 มีการชุมนุมประท้วงที่รุนแรงกว่า 1,500 ครั้งในสหรัฐฯ และมีการบันทึกเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก 51 ครั้งหลังการเลือกตั้งระดับชาติครั้งล่าสุด
คุณ Steve Killelea ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร IEP กล่าวว่า "แนวคิด 'สงครามที่ไม่มีวันจบ' (forever wars) มีความเป็นจริงมากกว่าทุกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ดัชนีสันติภาพโลกในปีนี้แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยมีปรากฏการณ์การแยกตัวครั้งใหญ่ (Global Fragmentation) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการผงาดของประเทศอำนาจปานกลาง การแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจ และภาระหนี้ในระดับที่ไม่ยั่งยืนในประเทศเปราะบางที่สุดของโลก ทั้งหมดนี้กำลังนำไปสู่การจัดระเบียบโลกใหม่ในระดับรากฐาน และอาจถึงจุดพลิกผันสู่ระเบียบระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ ที่ยังไม่อาจคาดการณ์ลักษณะได้ในขณะนี้"
พื้นที่ขัดแย้งสูงและการประเมินความเสี่ยง
ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสันติภาพน้อยที่สุดในโลก โดยมีสี่ประเทศที่อยู่ในสิบอันดับล่างสุดของดัชนี GPI ได้แก่ ซูดาน เยเมน ซีเรีย และอิสราเอล
แอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารายังคงเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนประเทศเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งมากที่สุด โดย 35 จาก 43 ประเทศในภูมิภาคมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียงเจ็ดประเทศในปี 2551 โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านหนี้ของภูมิภาคนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยมีอัตราการชำระหนี้เทียบกับรายได้ของรัฐบาลสูงกว่า 40% ประเทศเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เปราะบางที่สุดของโลก
ภูมิภาคซาเฮลยังคงเป็นศูนย์กลางของการก่อการร้ายระดับโลก โดยกลุ่ม Africa Corps ยังคงขยายบทบาทในพื้นที่ผ่านการจัดส่งอาวุธจำนวนมากไปยังมาลี ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 154 โดยหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ขณะที่กลุ่ม Wagner ที่เหลืออยู่ทยอยถอนตัว การจัดส่งดังกล่าวประกอบด้วยรถถัง ยานเกราะ ปืนใหญ่ และเครื่องบิน
ภูมิภาคเอเชียใต้เป็นพื้นที่ที่มีสันติภาพลดลงมากที่สุดจากมาตรการข่มปราบในบังกลาเทศ ตลอดจนเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศและความขัดแย้งในปากีสถาน กรณีแคชเมียร์สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการปะทุความขัดแย้งอย่างชัดเจน โดยเหตุโจมตีจากการก่อการร้ายในเดือนเมษายน 2568 ได้ทำให้อินเดียและปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เฉียดเข้าใกล้สงครามอย่างเปิดเผย
อเมริกาใต้เป็นภูมิภาคเดียวที่มีสันติภาพเพิ่มขึ้น โดยเปรูมีการปรับตัวดีขึ้นมากที่สุดจากการลดลงของเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ
IEP ได้พัฒนาชุดตัวชี้วัดคาดการณ์ความขัดแย้งรูปแบบใหม่ที่สามารถระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการปะทุเป็นสงครามขนาดใหญ่ ได้แก่ แคชเมียร์ ซูดานใต้ เอธิโอเปียและเอริเทรีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และซีเรีย โดยความขัดแย้งในพื้นที่เหล่านี้ทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดจำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีในระดับหลักหลายหมื่นคน
เทคโนโลยีและสงครามยุคใหม่
ธรรมชาติของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปกำลังพลิกโฉมพลวัตของความขัดแย้ง ทำให้การทำสงครามเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและยืดเยื้อมากขึ้น จำนวนบริษัทที่ผลิตโดรนเพิ่มขึ้นจาก 6 แห่งในปี 2565 เป็นมากกว่า 200 แห่งในปี 2567 โดยยูเครนจะผลิตโดรนมากกว่า 2.5 ล้านตัวในปี 2568 โดรนรุ่นถัดไปจะได้รับการพัฒนาด้วย AI และมีความสามารถในการนำทางอัตโนมัติ การประสานงานแบบฝูง และการโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ ความขัดแย้งในยูเครนกลายเป็นสนามทดสอบสำหรับสงครามรูปแบบใหม่นี้ โดยการโจมตีด้วยโดรนของกองกำลังยูเครนเพิ่มขึ้นมากกว่า 127 เท่า ตั้งแต่ช่วงแรกของสงคราม
โดรนราคาถูก วัตถุระเบิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่มีต้นทุนเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ สามารถทำลายทรัพย์สินทางทหารมูลค่าหลายล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สมดุลอำนาจระหว่างรัฐกับกลุ่มนอกระบบเปลี่ยนแปลงไป ความสามารถที่ไม่สมมาตรนี้ทำให้กลุ่มกบฏขนาดเล็กสามารถยืดเยื้อความขัดแย้งต่อสู้กับกองกำลังปกติที่มีขนาดใหญ่กว่ามากได้ เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธทั่วโลก กิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้จะยากต่อการควบคุมมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ 'สงครามที่ไม่มีวันจบ' ที่ความขัดแย้งกลายเป็นเรื่องยืดเยื้อและไม่อาจชนะได้ง่าย ๆ
หมายเหตุถึงบรรณาธิการ เข้าถึงรายงาน GPI ประจำปี 2568 ฉบับสมบูรณ์และแผนที่แบบอินเทอร์แอคทีฟได้ที่: visionofhumanity.org
X: @GlobPeaceIndex
Facebook: facebook.com/globalpeaceindex
เกี่ยวกับดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index หรือ GPI) ดัชนี GPI จัดทำโดยสถาบันวิจัยระหว่างประเทศ Institute for Economics & Peace และมีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องทุกปีตลอด 19 ปีที่ผ่านมา เป็นแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุดเกี่ยวกับแนวโน้มสันติภาพทั่วโลก โดยจัดอันดับ 163 ประเทศและดินแดนอิสระ ครอบคลุมประชากรโลกถึง 99.7% ดัชนีนี้ใช้ตัวชี้วัดหลายด้านในการประเมินสถานะสันติภาพในแง่ของ 'ความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคม' 'ความขัดแย้งภายในและระหว่างประเทศที่ดำเนินอยู่' และ 'ระดับการทหาร'
เกี่ยวกับ Institute for Economics & Peace (IEP) Institute for Economics & Peace (IEP) คือสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลกที่มุ่งเน้นการพัฒนาเกณฑ์วัดเพื่อวิเคราะห์สันติภาพและประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของสันติภาพ โดยดำเนินงานผ่านการพัฒนาดัชนีระดับโลกและระดับประเทศ รวมถึงดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index) ประจำปี ตลอดจนคำนวณต้นทุนทางเศรษฐกิจจากความรุนแรง และทำความเข้าใจแนวคิด Positive Peace (สันติภาพเชิงบวก) ซึ่งหมายถึงทัศนคติ สถาบัน และโครงสร้างที่สร้างและรักษาสังคมที่สงบสุข
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/2538078/IEP_Logo.jpg?p=medium600